คุณแม่เคยสงสัยไหมคะว่า
ทำไมลูกน้อยถึงจำเสียงคุณแม่ได้ และแยกเสียงคุณแม่ออกจากคนอื่นได้
เนื่องจากลูกมีพัฒนาการการได้ยินตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้วค่ะ
และความสามารถในการได้ยินนี้
ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ทางด้านภาษาต่อไปอีกด้วย Modern Mom
จึงจะมาแนะนำถึงช่วงเวลาในการเริ่มได้ยินของลูก
เพื่อจะได้ส่งเสริมการได้ยินของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยค่ะ
เริ่มต้นการได้ยิน
4 Month
สมองเริ่มได้รับรู้ ตาเริ่มมองเห็น เริ่มรู้ว่ามีแสง ลิ้นเริ่มมีปุ่มสัมผัส และเริ่มจะได้ยินเสียงต่าง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวใจของแม่ หรือเสียงร้องของกระเพาะอาหาร รวมทั้งเสียงจากภายนอกครรภ์
5 Month
นอกจากได้ยินเสียงแล้ว ลูกในท้องก็มีการตอบสนองต่อเสียงอีกด้วย ไม่ว่าจะต่อเสียงพูดคุยของแม่ หรือเสียงดังที่เกิดขึ้นกะทันหัน ก็จะทำให้เด็กมีการตอบสนองด้วยอาการกระตุก การขยับตัว แม่ก็จะรู้สึกได้ว่า ลูกมีการเตะท้อง
6-7 Month
เด็กสามารถจดจำเสียงที่มาจากภายนอกได้ เช่น เสียงเพลงที่คุณแม่เปิดให้ลูกฟัง หรือเสียงพูดคุยของคุณพ่อคุณแม่ พอลูกคลอดออกมาแล้ว ได้ยินเพลงที่เขาเคยฟังบ่อย ๆ หรือได้ยินเสียงพ่อแม่ที่คุ้นเคยก็จะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยค่ะ
8-9 Month
มีพัฒนาการทางการได้ยินมากขึ้น ลูกในครรภ์มีความเข้าใจในภาษามากขึ้น หากที่บ้านมีการพูดคุยหลายภาษา ลูกในครรภ์ก็จะเริ่มคุ้นเคยกับลักษณะเสียงของภาษาที่แตกต่างกัน
เสียงพูดของพ่อแม่เป็นเสียงที่ลูกได้ยินชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากลูกจะได้ยินเสียงคุณแม่จากการฟังแล้ว ยังรู้สึกถึงการส่งผ่านทางร่างกายของแม่ด้วย อีกทั้งคุณพ่อก็สามารถมาร่วมพูดคุยกับคุณแม่และลูกได้ด้วยค่ะ เพราะเสียงทุ้ม ๆ ของคุณพ่อก็จะส่งผ่านไปสู่ลูกได้ดีกว่าเสียงความถี่สูง หากคุณพ่อคุณแม่ได้พูดคุยกับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อคลอดแล้ว ลูกก็จะสามารถจดจำเสียงได้ทันที
ฟังเพลง
เพลงที่จะเปิดให้ลูกฟังนั้น ควรเป็นเพลงที่จังหวะไม่หนัก เป็นเพลงเบา ๆ อาจเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงที่มีเสียงร้องก็ได้ โดยเป็นการเปิดเพลงฟังทางลำโพงที่ทั้งแม่ และลูกได้ยินพร้อมกัน ที่สำคัญควรเป็นเพลงที่คุณแม่ชอบด้วย
สวดมนต์ด้วยกัน
คุณแม่บางท่านที่ชอบสวดมนต์ ก็อาจจะเปลี่ยนจากการสวดในใจมาเป็นเปล่งเสียงออกมาให้ลูกได้ยินด้วย การที่ลูกได้ยินเสียงคุณแม่ในเวลาที่เงียบสงบจะทำให้ลูกฟังเสียงอย่างสงบไป ด้วย รู้สึกมีความสุข และส่งผลดีต่อการทำงานของสมองเจ้าตัวเล็กตามไปด้วยค่ะ
อ่านนิทาน
คุณแม่อาจจะอ่านนิทานให้ลูกฟังก็ได้ เพื่อช่วยเรื่องพัฒนาการด้านภาษา เมื่อเขาคลอดออกมาก็จะคุ้นเคย และเป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการด้านภาษาต่อไป
เริ่มต้นการได้ยิน
4 Month
สมองเริ่มได้รับรู้ ตาเริ่มมองเห็น เริ่มรู้ว่ามีแสง ลิ้นเริ่มมีปุ่มสัมผัส และเริ่มจะได้ยินเสียงต่าง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวใจของแม่ หรือเสียงร้องของกระเพาะอาหาร รวมทั้งเสียงจากภายนอกครรภ์
5 Month
นอกจากได้ยินเสียงแล้ว ลูกในท้องก็มีการตอบสนองต่อเสียงอีกด้วย ไม่ว่าจะต่อเสียงพูดคุยของแม่ หรือเสียงดังที่เกิดขึ้นกะทันหัน ก็จะทำให้เด็กมีการตอบสนองด้วยอาการกระตุก การขยับตัว แม่ก็จะรู้สึกได้ว่า ลูกมีการเตะท้อง
6-7 Month
เด็กสามารถจดจำเสียงที่มาจากภายนอกได้ เช่น เสียงเพลงที่คุณแม่เปิดให้ลูกฟัง หรือเสียงพูดคุยของคุณพ่อคุณแม่ พอลูกคลอดออกมาแล้ว ได้ยินเพลงที่เขาเคยฟังบ่อย ๆ หรือได้ยินเสียงพ่อแม่ที่คุ้นเคยก็จะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยค่ะ
8-9 Month
มีพัฒนาการทางการได้ยินมากขึ้น ลูกในครรภ์มีความเข้าใจในภาษามากขึ้น หากที่บ้านมีการพูดคุยหลายภาษา ลูกในครรภ์ก็จะเริ่มคุ้นเคยกับลักษณะเสียงของภาษาที่แตกต่างกัน
กระตุ้นการได้ยิน
พูดคุยกับลูก
เสียงพูดของพ่อแม่เป็นเสียงที่ลูกได้ยินชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากลูกจะได้ยินเสียงคุณแม่จากการฟังแล้ว ยังรู้สึกถึงการส่งผ่านทางร่างกายของแม่ด้วย อีกทั้งคุณพ่อก็สามารถมาร่วมพูดคุยกับคุณแม่และลูกได้ด้วยค่ะ เพราะเสียงทุ้ม ๆ ของคุณพ่อก็จะส่งผ่านไปสู่ลูกได้ดีกว่าเสียงความถี่สูง หากคุณพ่อคุณแม่ได้พูดคุยกับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อคลอดแล้ว ลูกก็จะสามารถจดจำเสียงได้ทันที
ฟังเพลง
เพลงที่จะเปิดให้ลูกฟังนั้น ควรเป็นเพลงที่จังหวะไม่หนัก เป็นเพลงเบา ๆ อาจเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงที่มีเสียงร้องก็ได้ โดยเป็นการเปิดเพลงฟังทางลำโพงที่ทั้งแม่ และลูกได้ยินพร้อมกัน ที่สำคัญควรเป็นเพลงที่คุณแม่ชอบด้วย
สวดมนต์ด้วยกัน
คุณแม่บางท่านที่ชอบสวดมนต์ ก็อาจจะเปลี่ยนจากการสวดในใจมาเป็นเปล่งเสียงออกมาให้ลูกได้ยินด้วย การที่ลูกได้ยินเสียงคุณแม่ในเวลาที่เงียบสงบจะทำให้ลูกฟังเสียงอย่างสงบไป ด้วย รู้สึกมีความสุข และส่งผลดีต่อการทำงานของสมองเจ้าตัวเล็กตามไปด้วยค่ะ
อ่านนิทาน
คุณแม่อาจจะอ่านนิทานให้ลูกฟังก็ได้ เพื่อช่วยเรื่องพัฒนาการด้านภาษา เมื่อเขาคลอดออกมาก็จะคุ้นเคย และเป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการด้านภาษาต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Modern Mom ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น