4 เทคนิค สร้างลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์
คุณแม่ทุกท่านย่อมต้องการให้ลูกที่เกิดมาเป็นเด็กฉลาดทั้งทางสติปัญญาและ
อารมณ์
ถึงแม้ว่าเรื่องของกรรมพันธุ์จะเป็นปัจจัยหนึ่งต่อความเฉลียวฉลาดของลูก
แต่ก็ยังมีเรื่องของอาหารของคุณแม่ตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด
รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก
ขณะที่อยู่ในท้องและภายหลังคลอดก็เป็นส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและอารมณ์
ของลูกอย่างต่อเนื่องค่ะ
ลูกเป็นอย่างไร ในแต่ละช่วง
ช่วง 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงของการเริ่มต้นสร้างอวัยวะ
กล้ามเนื้อต่าง ๆ และเซลล์ประสาทของลูกน้อย
ช่วงนี้คุณแม่จะต้องดูแลเรื่องอาหาร ยา และหลีกเลี่ยงสารพิษ
เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3
ทารกจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบได้แล้ว
ลูกจะดิ้นไปมาอยู่ในท้อง แต่แม่จะยัง
ไม่ค่อยรู้สึกเพราะขนาดตัวของลูกยังเล็กมาก
ช่วง 4-6
เดือนของการตั้งครรภ์ ประสาทสัมผัสทางการได้ยินเริ่มพัฒนา ทารก
จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจและเสียงของแม่
จำนวนเซลล์ของระบบประสาทเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทารกเริ่มจดจำเสียงของคุณแม่ได้
และยังมีการเชื่อมต่อระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ
ทารกสามารถเคลื่อนไหวแขนและขาตามจังหวะของ ข้อพับ กำมือ ยืดตัว
หรือพลิกตัวได้แล้ว
ช่วง 7-9 เดือนของการตั้งครรภ์
เมื่อลูกรู้สึกว่าภายนอก มีเสียงดัง หรือหากคุณแม่กินอาหารผิดเวลา
ลูกจะสื่อความต้องการ หรือตอบโต้ด้วยการดิ้น เตะ ถีบ
ระบบประสาทในการมองเห็นพัฒนา รูม่านตาจะเริ่มขยายหรือหรี่ได้
แม้จะอยู่ในถุงน้ำคร่ำ ทารกก็สามารถรับรู้ต่อแสง ความมืด ความสว่างได้
และสมองของทารกช่วงนี้ เป็นระยะที่มีการขยายตัวของเซลล์และรอยหยักมากขึ้น
เด็กจะมีความจำมากขึ้น
ส่งเสริม 4 พัฒนาการให้ลูกในท้อง
ขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์ ระบบประสาทส่วนต่าง ๆ ของลูกเริ่มทำงาน
สามารถรับรู้และตอบสนองกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอกท้องแม่ได้
โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ 4 เดือนไปแล้ว
คุณแม่และคุณพ่อจึงสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้ ดังนี้
1. ด้านอารมณ์
คุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ)
และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย
จะทำให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า
ดังนั้นระหว่างตั้งครรภ์ควรปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ ไม่เครียด
อาจฟังเพลงหรืออ่านหนังสือเพื่อช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์
2. ด้านการมอง
ออกไปยืนรับแสงแดดอ่อนๆ นอกบ้านช่วงเช้าหรือบ่าย
ควรเลือกแสงที่มีความสว่างไม่จ้าจนเกินไป นอกจากนี้
การใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้องก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาท
ส่วนรับภาพและ การมองเห็นของทารกมีพัฒนาการดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการ
มองเห็นภายหลังคลอด
3. ด้านการได้ยิน
หมั่นพูดคุยกับลูกในท้องบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ใช้ประโยคซ้ำ ๆ
เพื่อให้ลูกคุ้นเคย
จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียม
พร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด
นอกจากนี้
การร้องหรือเปิดเพลงให้ลูกฟังบ่อยๆ
โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ซึ่งการใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้
การได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น ช่วงเวลาที่เหมาะในการฟังเพลง
ควรเป็นช่วงหลังมื้ออาหาร เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลูกตื่นตัวมากที่สุด
ควรเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต
และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในท้องจะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย
คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนา
ระบบการทำงานได้เร็วขึ้น
ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมาจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง
รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี
4. ด้าน การสัมผัส
การลูบไล้หน้าท้องบ่อย ๆ
จะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการที่ดี
ขึ้น คุณแม่ควรลูบหน้าท้องเป็นวงกลมจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน
บริเวณไหนก่อนก็ได้ โดยขณะที่สัมผัสอาจร้องเพลงหรือพูดคุย ไปด้วย
ยิ่งถ้าทำในช่วงเวลาเดิมเป็นประจำจะรู้สึกได้ว่าเมื่อถึงช่วงเวลานั้น
ลูกจะดิ้นรออยู่แล้ว
นอกจากการลูบไล้หน้าท้องแล้วการออกกำลังกายเบา ๆ หรือการเดินเล่น
จะทำให้ลูกในท้องมีการเคลื่อนไหว ตามไปด้วย
และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก
ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ดีขึ้น ทั้งนี้
ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก Mother & Care
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น