Time out ลงโทษแบบสงบแต่สยบลูกน้อยอย่างได้ผล
Time out คืออะไร
ผศ.นพ.วิฐารณ บุญสิทธิ กล่าวถึง Time out ไว้ดังนี้ Time out คือ
การแยกเด็กออกจากสิ่งกระตุ้นหรือความสนใจจากสิ่งรอบข้างชั่วคราว
เพื่อให้เขาสงบและควบคุมตนเองได้ เรียกว่า
เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อให้เด็กได้สงบสติอารมณ์
แต่ไม่ใช่การกักขังลูกในห้องอย่างเด็ดขาด
ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องและไม่ใช่การ Time out เพราะการกระทำเช่นนี้
ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ด้านลบ อารมณ์โกรธ
โมโหของเด็กให้พลุ่งพล่านออกมามากกว่า และอาจมีผลเสียอื่น ๆ ตามมาด้วย
เด็กในวัยใดสามารถใช้วิธี Time out ได้
วิธี
การนี้เหมาะที่จะใช้กับเด็กในช่วงอายุ 2 – 3 ขวบ
เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มรู้จักการรักษากฎต่าง ๆ วิธีการดูว่าลูกรู้จักการ
รักษากฎแล้วหรือยัง เช่น
ดูว่าลูกสามารถจับผิดพ่อแม่เมื่อพ่อแม่ไม่ทำตามกฎที่ครอบครัวไว้ เช่น
ถ้าพ่อแม่ห้ามกินขนมบนที่นอนหากลูกมาเห็นพ่อแม่กินอยู่แล้วพูดว่า
“แม่กินขนมบนที่นอนไม่ได้ ” นั่นแสดงว่าลูกรู้จักกฎและการรักษากฎแล้ว
เป็นต้น
สำหรับเด็กอายุ 2 ขวบ ควรเริ่มจากระยะเวลาสั้น ๆ เช่นประมาณ
30 วินาที หรือ 1 นาที ระยะเวลาที่เหมาะสมอาจจะดูเป็นกรณีไป
เวลาที่ดีควรเป็นเวลาที่พอประมาณ ให้เด็กสามารถสงบสติอารมณ์ได้
สิ่งสำคัญต้องให้เด็กรู้เหตุผลในการ Time out
เมื่อ
ครบเวลาควรทบทวนกับเด็กสั้น ๆ ว่าเขาต้องอยู่ใน Time out เพราะเหตุใด เช่น
“พ่อให้หนูนั่งสงบตรงนี้เพราะหนูขว้างของ
คราวหลังถ้าหนูโกรธก็บอกได้นะไม่ต้องขว้างของ
ตอนนี้หนูใจเย็นแล้วไปเล่นต่อได้” แล้วให้เด็กไปมีกิจกรรมอื่น ๆ ตามปกติ
ควรหลีกเลี่ยงการสอนที่ยาวหรือการพูดตำหนิติเตียน
ถ้าลูกไม่ยอมอยู่ใน Time out พ่อแม่ต้องทำอย่างไร
แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1.
ถ้าเด็กไม่ยอมนั่งสงบ พ่อแม่ควรจับตัวเด็กให้นั่งบนเก้าอี้ที่กำหนดไว้
โดยจับทางข้างหลังเก้าอี้แล้วรวบแขน 2 ข้างของเด็กกอดไว้
เมื่อเด็กเริ่มสงบจึงปล่อยแขนแล้วเริ่มจับเวลา เด็กอาจต่อต้านในระยะแรก
แต่ถ้าปฏิบัติอย่างเอาจริงและสม่ำเสมอ เด็กก็จะยอมตามในที่สุด
พ่อแม่ควรพูดชมเด็กเมื่อเขายอมนั่งและสงบลงได้
2.
ในบางกรณีเด็กอาจจะแสดงท่าทีว่าไม่เดือดร้อนเมื่อพ่อแม่ให้อยู่ใน Time out
เช่น อาจแสดงสีหน้ายั่วยวน หรือพูดท้าทายว่าไม่สนใจ
นั่นไม่ได้แปลว่าเด็กไม่เดือดร้อนจริง ๆ สิ่งสำคัญ คือ
การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอของพ่อแม่ เมื่อเด็กได้รับการ Time out
เขาจะเรียนรู้ที่จะสงบอารมณ์ได้ในที่สุด
ก่อน Time out พ่อแม่ต้อง Time in ก่อน
คำแนะนำของผศ.นพ.วิฐารณ บุญสิทธิ ที่ว่า ก่อน Time out พ่อแม่ต้อง Time in ก่อน คือ
1. การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของเด็กจะไม่ได้ผลเลย ถ้ามัวแต่เพ่งเล็งที่พฤติกรรมที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ความสนใจพฤติกรรมที่ดี
2.
หากพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกเพียงพอ หรือในเวลาปกติที่เขากำลังเล่นดี ๆ
อย่างสงบ แต่จะตอบสนองต่อเมื่อลูกสร้างปัญหา เมื่อเขาร้องโวยวาย ขว้างปาของ
หรือทะเลาะกันเท่านั้น ปัญหาพฤติกรรมเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ
3.
พ่อแม่ต้องพยามให้ความสนใจเด็กอย่างต่อเนื่องในเวลาปกติที่อาจเรียกว่า
Time in ซึ่งอาจทำได้ด้วยวิธีการอยู่ใกล้ ๆ เด็ก แตะตัว โอบไหล่
พยักหน้าหรือยิ้มให้เป็นระยะ ๆ
เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดีเขาจะได้ไม่รู้สึกว่าพ่อแม่จะสนใจเขาต่อเมื่อเขาทำ
ผิดเท่านั้น หรือคิดว่าพ่อแม่พยายามจับผิดตนเองตลอดเวลา
4.
เมื่อเขามีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
พ่อแม่ก็ควรช่วยให้เขาพยายามควบคุมตนเองด้วยการเบี่ยงเบนพฤติกรรมความสนใจ
ออกจากสิ่งที่ไม่เหมาะสม เด็กจะไม่รู้สึกว่าตนเองถูกบังคับ
การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในความรักของพ่อแม่
และในคุณค่าของตนเอง
ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตที่ดีต่อไป
คำแนะนำการ Time out ให้ได้ผล
พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ทารกแรกเกิด โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ได้แนะนำการทำ Time out ลูกอย่างได้ผล ไว้ดังนี้
1.
เน้น Time in ก่อน Time out
เป็นลักษณะของการนำพลังด้านบวกมาเสริมแรงให้แก่ลูก ลูกควรได้รับการ Time in
ก่อนอย่างเพียงพอมากกว่าที่จะได้รับการ Time out
เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะรักษาพฤติกรรมดี ๆ ไว้มากกว่าการถูกทำโทษ
2.
ต้อง Time out ทันทีที่ลูกทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ หรือไม่เหมาะสม
ลูกจะได้เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่ Time out ตนเองเพราะสาเหตุใด และที่สำคัญการ
Time out ควรใช้เวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น เพื่อให้ดูจริงจัง
และจะทำให้เด็กเข้าใจว่าการกระทำของตนไม่ถูกต้องได้ง่ายขึ้น
3.
บริเวณเงียบสงบ คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกบริเวณในการทำ Time out
เป็นส่วนที่แยกจากบริเวณที่มีการทำกิจกรรม ไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลาง
แต่เป็นมุมห้องที่คุณยังสามารถเห็นว่าลูกกำลังทำอะไร
ลูกต้องนั่งบนเก้าอี้จนกว่าคุณจะบอกว่าหมดเวลา ถ้าเวลานานเกินไป เด็กเล็ก ๆ
จะลืมว่า ทำไมถึงถูก Time out ถ้าลูกลุกก่อนถึงเวลาจะต้องเริ่มต้นใหม่
4.
คำพูดเป็นสิ่งสำคัญ พ่อแม่ไม่ควรพูดให้ลูกรู้สึกไม่ดีเมื่อเวลาเขาต้องถูก
Time out พ่อแม่นั้นต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง อย่าขึ้นเสียง
อาจใช้คำพูด เช่น “หยุดก่อนนะลูก พักสัก 1 นาที
ลูกจะได้ใจเย็นลงแล้วเรามาคุยกันใหม่นะ” เป็นการสงบสติอารมณ์เจ้าตัวน้อย
และพ่อแม่เองจะได้มีเวลาสักนิดเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา
5. โอบกอด
หลังจาก Time out แล้ว
ให้คุณพ่อคุณแม่กอดลูกเพื่อให้ลูกมั่นใจว่าคุณรักเขามากนะ
เพียงแต่การที่ลูกทำพฤติกรรมเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะจ๊ะ ไม่ควรทำก็เท่านี้เอง
สรุป
การลงโทษที่ได้ผล มีหลักการว่าเด็กที่ถูกทำโทษ
ต้องได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น ถือเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิตว่า
ทุกสิ่งที่ได้กระทำ ย่อมมีผลตามมาเสมอ
จะเห็นว่าวิธีการทำโทษก็มี
ด้านบวก นอกจากการตี การดุว่า อาจทำให้เด็กหยุดพฤติกรรมเพียงชั่วคราว
แล้วเขาก็จะกลับมาทำผิดได้อีก
อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ควรให้เวลากับลูกอย่างเพียงพอ ให้ความ
ความเข้าใจ และการให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ สอนทัศนคติในเชิงบวกให้แก่ลูก
เพื่อให้ลูกได้มีความเชื่อมั่นในตนเอง
และมีพฤติกรรมที่ดีปลูกฝังติดตัวของเขาต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.taiwisdom.org
http://women.kapook.com
https://www.facebook.com/SuthiRa
CR : Theasianparent